สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ได้แก่ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและศาสนา โดยประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวไทยมุสลิม ซึ่งมีวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มรดกทางประวัติศาสตร์ ศาสนา และขนบธรรมเนียมประเพณีเหล่านี้ได้หล่อหลอมให้เกิดความเป็นปึกแผ่นในชุมชน
อย่างไรก็ตาม พื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ทั้งความไม่สงบในพื้นที่ซึ่งกินเวลายาวนานกว่า 2 ทศวรรษ และปัญหาที่มักได้รับการพูดถึงน้อยกว่าเรื่องความไม่สงบในพื้นที่ก็คือ ปัญหาความยากจน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการพัฒนาและความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ การขาดโอกาสทางเศรษฐกิจและการศึกษา รวมถึงปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่ครอบคลุม ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำและความไม่เท่าเทียมกันในสังคม ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและความสงบสุขในระยะยาว
ในความพยายามที่จะยกระดับเศรษฐกิจของจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ได้เน้นความสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาล ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์หลักในการเพิ่มรายได้ของประชาชนท้องถิ่น อุตสาหกรรมฮาลาลไม่เพียงแต่ครอบคลุมอาหารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสินค้าและบริการอื่นๆ ที่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม เช่น แฟชั่น เครื่องสำอาง ยา และการท่องเที่ยว การส่งเสริมอุตสาหกรรมนี้จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถเป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักในตลาดฮาลาลโลก เพิ่มรายได้ให้กับประเทศ และนำความสงบสุขและเสถียรภาพมาสู่ภูมิภาคที่ประสบปัญหามานาน
โดยนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ตอบข้อซักถามเกี่ยวกับสถานการณ์ในภาคใต้ระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่อาคารรัฐสภาในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ที่ผ่านมาระบุว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการปรับปรุงสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และมุ่งมั่นที่จะเพิ่มรายได้ของประชาชนในท้องถิ่นด้วยการพัฒนาอาหารฮาลาลและส่งเสริมอุตสาหกรรมฮาลาล
นายกรัฐมนตรีอธิบายว่ารัฐบาลเน้นการลงทุนเพื่อช่วยเหลือประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคใต้ ในระหว่างการเดินทางไปต่างประเทศของท่าน ท่านได้หารือกับผู้นำหลายประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม เช่น บรูไนดารุสซาลามและมาเลเซีย ผู้นำเหล่านี้ต้องการร่วมมือกับประเทศไทยในการผลิตอาหารฮาลาล เนื่องจากประเทศไทยมีวัตถุดิบเพียงพอ
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าได้สั่งให้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยหาทุนสนับสนุนธุรกิจในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ท่านเชื่อว่าการปรับปรุงเศรษฐกิจท้องถิ่นจะช่วยบรรเทาปัญหาในพื้นที่และนำมาซึ่งความสงบและเสถียรภาพ รัฐบาลจะยังคงหาทุนเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นของภาคใต้ต่อไป
เกี่ยวกับการผลิตอาหารฮาลาล กระทรวงอุตสาหกรรมได้จัดตั้งหน่วยงานใหม่ที่เรียกว่า “ศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาลไทย” เพื่อพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมฮาลาลของประเทศไทยผ่านการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศและการขยายตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์และบริการฮาลาล คณะกรรมการอุตสาหกรรมฮาลาลแห่งชาติยังได้จัดตั้งขึ้นเพื่อกำหนดนโยบายและวางกลยุทธ์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการฮาลาลของไทย
จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นแหล่งวัตถุดิบคุณภาพสูงสำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์ฮาลาล นอกจากนี้ยังมีผู้ประกอบการที่มีประสบการณ์มากมายในการผลิตและธุรกิจฮาลาล ในขณะที่สิ่งอำนวยความสะดวกด้านโครงสร้างพื้นฐานในท้องถิ่นหลายแห่งก็ได้รับการพัฒนาเพื่ออุตสาหกรรมฮาลาลในพื้นที่ภาคใต้
โอกาสของไทยในอุตสาหกรรมฮาลาลโลก
ข้อมูลเพิ่มเติมจาก THACCA ระบุว่า ไทยอยู่ในอันดับที่ 11 ของสินค้าฮาลาลโลก ซึ่งอุตสาหกรรมฮาลาลไม่ได้มีเพียงอาหารฮาลาลเท่านั้น แต่ยังหมายถึงสินค้าและบริการอื่นที่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม ซึ่งรวมไปถึงแฟชั่น เครื่องสำอาง ยา หรือแม้กระทั่งการท่องเที่ยว
ในปี 2564 อุตสาหกรรมฮาลาลโลกมีมูลค่ามากถึง 2.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 7.5% ต่อปี โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
- สินค้าอาหารและเครื่องดื่ม - 1.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
- สินค้าและบริการไลฟ์สไตล์ (แฟชั่น ท่องเที่ยว) - 6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
- สินค้าอุปโภค (เครื่องสำอาง ยา) - 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศผู้ส่งออกสินค้าฮาลาลสำคัญของโลก โดยเฉพาะอาหารฮาลาล และมีแนวโน้มที่จะส่งออกได้มากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้การส่งออกอาหารฮาลาลไทยมีมูลค่าสูงกว่าช่วงก่อนการระบาดโควิด-19
- ปี 2562 ไทยส่งออกอาหารฮาลาลได้ 168,065 ล้านบาท
- ปี 2563 ไทยส่งออกอาหารฮาลาลได้ 124,234 ล้านบาท
- ปี 2564 ไทยส่งออกอาหารฮาลาลได้ 136,495 ล้านบาท
- ปี 2565 ไทยส่งออกอาหารฮาลาลได้ 213,816 ล้านบาท
- ในช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม ปี 2566 ประเทศไทยสามารถส่งออกอาหารฮาลาลได้มากถึง 216,698 ล้านบาท ทำให้ผู้ผลิตอาหารฮาลาลกว่า 15,043 รายและร้านอาหารฮาลาลมากกว่า 3,500 ร้านมีรายได้จากการส่งออกที่มากขึ้น
ตัวเลขการส่งออกที่สูงขึ้นนี้เองที่ทำให้ไทยกลายเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารฮาลาลมากเป็นอันดับ 11 ของโลก และอันดับ 3 ของอาเซียน (รองจากอินโดนีเซียและมาเลเซีย) โดยไทยได้ครองส่วนแบ่งตลาดอาหารฮาลาลโลกไป 2.7% และยังมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกมากในอนาคต
ข้อมูลเพิ่มเติม: https://thacca.go.th/article/food-halal/