ภาคตะวันออกของประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วย 7 จังหวัด ได้แก่ ระยอง, ชลบุรี, ฉะเชิงเทรา, ตราด, ปราจีนบุรี, สระแก้ว และจันทบุรี เป็นภูมิภาคที่มีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยการผสมผสานระหว่างภาคอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่น่าสนใจหลายประการที่สะท้อนถึงความเจริญและศักยภาพในการพัฒนาของภูมิภาคนี้
ความสำคัญทางเศรษฐกิจของจังหวัดระยองและชลบุรี
จังหวัดระยองและชลบุรีถือเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภาคตะวันออก โดยระยองมีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวม (GPP) สูงถึง 955,119 ล้านบาท และ GPP per capita 904,857 บาท ในขณะที่ชลบุรีมี GPP สูงถึง 1,009,363 ล้านบาท และ GPP per capita 524,002 บาท ความสำคัญนี้มาจากการเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หลายแห่งที่เป็นแหล่งจ้างงานและสร้างรายได้ให้กับภูมิภาค
ความเจริญเติบโตของภาคอุตสาหกรรม
ภาคอุตสาหกรรมเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจในภาคตะวันออก โดยมีบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งที่มียอดรายได้และการเติบโตที่น่าประทับใจ ตัวอย่างเช่น บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ในจังหวัดระยองที่มียอดรายได้ 317,394,594,291 บาท และบริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด ในชลบุรีที่มียอดรายได้ 131,739,766,106 บาท การเติบโตของภาคอุตสาหกรรมนี้สะท้อนถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและศักยภาพในการขยายตัวต่อไปในอนาคต
การเติบโตของรายได้บริษัทในปี พ.ศ. 2565
บริษัทหลายแห่งในภาคตะวันออกมียอดรายได้ที่เติบโตขึ้นอย่างมากในปี พ.ศ. 2565 เช่น บริษัท ทีที ออโตโมทีฟ สตีล (ไทยแลนด์) จำกัด ในฉะเชิงเทราที่เติบโตขึ้น 46.86% และบริษัท เนชั่นแนล พาวเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) ในปราจีนบุรีที่เติบโตขึ้น 44.05% การเติบโตนี้ชี้ให้เห็นถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังจากช่วงเวลาที่ชะลอตัวลงในช่วงที่ผ่านมา
การมีบทบาทของภาคบริการและการท่องเที่ยว
จังหวัดตราดและชลบุรีเป็นจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ เช่น เกาะช้างในตราดและเมืองพัทยาในชลบุรี ภาคบริการและการท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้มีบทบาทสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้ การพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวและการบริการที่มีคุณภาพจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจในภาคตะวันออก
การพัฒนาพื้นที่ชายแดนและการค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้าน
จังหวัดสระแก้วเป็นจังหวัดชายแดนที่มีการค้าขายและติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา การพัฒนาการค้าขายและโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ชายแดนมีศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความเจริญในภูมิภาคนี้
ภาคตะวันออกของประเทศไทยเป็นภูมิภาคที่มีความหลากหลายและมีศักยภาพทางเศรษฐกิจที่สูง ทั้งในด้านอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว และการค้าชายแดน การพัฒนาและการลงทุนในภูมิภาคนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมสร้างความเจริญและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต
ตัวเลขน่าสนใจ
1. ภาพรวมเศรษฐกิจของภาคตะวันออก
- ระยอง: GPP = 955,119 ล้านบาท, GPP per capita = 904,857 บาท
- ชลบุรี: GPP = 1,009,363 ล้านบาท, GPP per capita = 524,002 บาท
- ฉะเชิงเทรา: GPP = 400,385 ล้านบาท, GPP per capita = 457,736 บาท
- ตราด: GPP = 44,027 ล้านบาท, GPP per capita = 160,025 บาท
- ปราจีนบุรี: GPP = 317,321 ล้านบาท, GPP per capita = 490,499 บาท
- สระแก้ว: GPP = 48,376 ล้านบาท, GPP per capita = 73,744 บาท
2. บริษัทที่มีรายได้สูงสุดในแต่ละจังหวัด
- ระยอง:
- บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน): รายได้ 317,394,594,291 บาท
- ชลบุรี:
- บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด: รายได้ 131,739,766,106 บาท
- ฉะเชิงเทรา:
- บริษัท ไมโครชิพ เทคโนโลยี (ไทยแลนด์) จำกัด: รายได้ 73,620,822,453 บาท
- ตราด:
- บริษัท สมิงฟูดส์ จำกัด: รายได้ 2,079,193,112 บาท
- ปราจีนบุรี:
- บริษัท แคนนอน ปราจีนบุรี (ประเทศไทย) จำกัด: รายได้ 27,283,071,254 บาท
- สระแก้ว:
- บริษัท รุ่งเรืองผล จำกัด: รายได้ 5,580,118,487 บาท
3. การเติบโตและการเปลี่ยนแปลงของบริษัทในปี 2565
- ระยอง:
- บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน): เพิ่มขึ้น 25.06%
- ชลบุรี:
- บริษัท สยามโตโยต้าอุตสาหกรรม จำกัด: เพิ่มขึ้น 32.87%
- ฉะเชิงเทรา:
- บริษัท ทีที ออโตโมทีฟ สตีล (ไทยแลนด์) จำกัด: เพิ่มขึ้น 46.86%
- ตราด:
- บริษัท สุขสมบูรณ์ น้ำมันปาล์ม บ่อไร่ จำกัด: เพิ่มขึ้น 29.06%
- ปราจีนบุรี:
- บริษัท เนชั่นแนล พาวเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (มหาชน): เพิ่มขึ้น 44.05%
- สระแก้ว:
- บริษัท ฮอนด้าประสิทธิ์มอเตอร์สระแก้ว (2554) จำกัด: เพิ่มขึ้น 39.35%