Skip to main content

เสียงจากคนหน้างาน เมื่อ รพ.สต. ย้ายไปสังกัดท้องถิ่น: รพ.สต.บ้านถิ่น อ.เมือง จ.แพร่

26 ธันวาคม 2567

 

ตำบลบ้านถิ่น อยู่ใน อ.เมือง จ.แพร่ เป็นชุมชนขนาดกลาง มีทั้งหมด 11 หมู่บ้าน มีลักษณะเป็นชุมชนกึ่งชนบทกึ่งเมือง มีประชากรราว 5,800 คนอยู่ร่วมกัน ระหว่างชาวไทล้านนากับชาวไทลื้อ อาชีพส่วนใหญ่ของคนที่นี่ทำการเกษตรกรรม พอถึงนอกฤดูกาลเกษตร ชาวบ้านนจะไปหาวัตถุโบราณ เครื่องเงิน เครื่องทองเก่ามาขาย

โสพิส ปุจ้อย รักษาการผู้อำนวยการ รพ.สต.บ้านถิ่น มองการย้ายโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือ รพ.สต.ไปขึ้นกับ อบจ.ว่า เป็นการกระจายอำนาจเพื่อให้ระบบสุขภาพเข้าถึงพื้นที่และใช้งบได้รวดเร็วขึ้น เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ

โสพิส รับว่า มีความกังวลเพราะ อบจ.อยู่ในช่วงทำความเข้าใจองค์ความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับระบบสุขภาพชุมชน ซึ่งการทำงานของ รพ.สต. มีโครงสร้างและเนื้องานมากมายที่ต้องทำความเข้าใจ เช่น งานควบคุมโรคติดต่อ การดูแลผู้สูงอายุ งานเกี่ยวกับกลุ่มโรคติดต่อไม่เรื้อรังหรือ NCDs ระบบงานข้อมูลต่างๆ รวมถึงงานบริหารระบบสุขภาพปฐมภูมิที่ตอนนี้ อบจ.ยังไม่มี ต้องอาศัยทีมจาก รพ.สต. ทั้งผู้อำนวยการพยาบาล รวมถึงสาธารณสุขอำเภอ สาธารณสุขจังหวัด เข้าไปอยู่ในคณะกรรมการบริหารพลางก่อนเพื่อพัฒนาระบบด้านต่างๆ ในการดูแลประชาชน

“ถ้าสามารถบอกผู้หลักผู้ใหญ่ที่ดูแลเรื่องนี้ได้ เราอยากฝากการพัฒนาองค์ความรู้ เพราะพอมาอยู่กับท้องถิ่นเหมือนถูกแยกขาดจากระบบของกระทรวงสาธารณสุข เดิมเราสามารถไปอบรมร่วมกับโรงพยาบาลแม่ข่ายเวลาเขาจัดงานวิชาการต่างๆได้ แต่ช่วงปี 66 ตอนย้ายมาสังกัดใหม่ๆ เดือดร้อนมาก รพ.สต.แทบไม่ได้ไปร่วมประชุมวิชาการอะไรเลย เหมือนอยู่ดีๆ หยุดกึ๊กไป ถูกแยกขาด ตอนหลังพอได้ประชุมกัน จึงบอกเขาไปว่าเวลาจัดประชุมวิชาการต่างๆให้เชิญทีม รพ.สต.ไปด้วยได้ไหม ปีนี้ก็น่าจะดีขึ้น”

โสพิสเล่าว่า ปัญหาหลักทางสุขภาพในพื้นที่ตำบลบ้านถิ่นช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา คือ จำนวนของผู้สูงวัย เพราะ เป็นสังคมผู้สูงอายุ ถ้ามองตามช่วงอายุจะไม่ใช่รูปทรงพีระมิดแต่แทบจะเป็นดอกเห็ด ฐานข้างล่างเล็กนิดเดียวเพราะคนเกิดแทบไม่มี

“เราเป็นตำบลที่คนมีอายุยืนที่สุดติดอันดับต้นๆ ของจังหวัดแพร่ ส่วนใหญ่อายุ 80 กว่าปีทั้งนั้น พอเป็นสังคมผู้สูงอายุ แต่ละคนต้องกินยาที่เกี่ยวกับโรคกลุ่ม NCDs (เบาหวาน ความดัน หัวใจ ฯลฯ) อย่างน้อยหนึ่งอย่าง หรือไม่ก็พวกเข่าเสื่อม เป็นปัจจัยที่ต้องทุ่มมาดูปัญหาตรงนี้เยอะกว่าเรื่องอื่น ก่อนหน้านี้ใช้วิธีการดูแลร่วมกันระหว่าง รพ.สต.บ้านถิ่น กับโรงพยาบาลจังหวัดแพร่ ซึ่งเป็น รพ.แม่ข่าย สมัยก่อนคือสังกัดกระทรวงสาธารณสุขเหมือนกัน แต่ปัจจุบัน รพ.สต.บ้านถิ่น ย้ายไปสังกัด อบจ. กระทรวงสาธารณสุข มีท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบตั้งแต่ปี 2566”

ช่วงที่สังกัดกระทรวงสาธารณสุข โสพิสเล่าว่า การเบิกยาและเวชภัณฑ์เพื่อดูแลกลุ่มผู้สูงอายุ สามารถเบิกจากโรงพยาบาลแม่ข่ายได้ มีทีมแพทย์ พยาบาล เภสัชกร ออกตรวจร่วมกันเป็นทีมสหวิชาชีพกับทาง รพ.สต.เพื่อดูแลผู้ป่วย แต่เมื่อย้ายไปอยู่กับท้องถิ่นซึ่งปีนี้เข้าสู่ปีที่ 3 โชคดีที่ทีมสหวิชาชีพยังทำงานด้วยกัน ยังออกพื้นที่ด้วยกันเหมือนเดิม

“อย่างกรณีผู้ป่วยต้องกลับมากายภาพหลังผ่าตัด นักกายภาพยังคงลงพื้นที่ ใช้งบของ รพ.จังหวัดแพร่ เพราะ อบจ.ยังไม่มีงบส่วนนี้ลงมา ส่วนรพ.สต.ก็จะจัดทีมจิตอาสาลงไปคอยเยี่ยมบ้านอีกทางหนึ่ง”

“จุดแข็งของการย้ายไปสังกัด อบจ. คือการเข้าถึงผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการ หรือผู้ป่วยตามบ้านที่ไม่มีอุปกรณ์และการปรับสิ่งแวดล้อมสำหรับผู้ป่วย ซึ่งในอดีต รพ.สต.จะทำงานร่วมกับ พม. งบประมาณน้อยมากจนผู้ใหญ่บ้านเองก็บอกว่าล้า อย่างราคาอุปกรณ์สูงกว่าราคากลางก็จัดซื้อลำบาก พอจัดซื้อผ่าน อบจ.สามารถทำได้คล่องตัวขึ้นเพราะขยับเพดานราคากลางให้เป็นจริงได้ สมัยก่อนเงินไม่พอก็ต้องเอาเงิน อสม. เงินจิตอาสา เงิน รพ.สต.มาปันกันซื้อเพื่อหาเครื่องไม้เครื่องมือไปช่วยดูแลผู้ป่วยที่บ้าน การย้ายไปสังกัดท้องถิ่นสามารถสร้างระบบบริการได้มากขึ้น อย่างการทำ Home Ward (การดูแลผู้ป่วยติดเตียงที่บ้าน) ที่ต้องใช้อ็อกซิเจนก็ทำได้มากขึ้น ภาระของโรงพยาบาลก็น้อยลง ถ้าเดิมทำงบไปกว่าจะลงมาก็ใช้เวลา 2 ปี อย่างน้อยที่สุดก็ 7-8 เดือน”

โสพิสบอกว่า สิ่งที่ยากขึ้น คือ ระเบียบจะยิบย่อยมาก โดยยกตัวอย่าง การซื้ออ็อกซิเจนจะต้องแนบคำร้องขอและเอกสารของคนไข้ ญาติ และเจ้าหน้าที่ไปด้วย เพื่อจัดทำในลักษณะโครงการ เนื่องจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ค่อนข้างเข้มงวดกับ รพ.สต.มาก

“ส่วนอีกปัญหาที่ต้องเจอ คือ การจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ เดิมใช้ร่วมกับโรงพยาบาลแม่ข่ายได้เนื่องจากสังกัดเดียวกัน แต่ปัจจุบันสังกัด อบจ. ซึ่งไม่มีคณะกรรมการจัดซื้อและเราไม่มีเภสัชกรตามระเบียบ ทำให้ซื้อเองไม่ได้ ในส่วนการจัดซื้อยาตอนนี้ ยังพอกล้อมแกล้มใช้วิธีทำเรื่องโอนงบไปผ่านคณะกรรมการของโรงพยาบาลแม่ข่ายในการจัดซื้อได้ แต่ในส่วนเวชภัณฑ์เดือดร้อนมาก เพราะงบจะถูกจัดสรรให้โรงพยาบาลแม่ข่ายน้อยลง ทางโรงพยาบาลแม่ข่ายเองจึงต้องเข้มงวดเรื่องการใช้จ่ายเช่นกัน เรียกว่า คิดกันบาทต่อบาท ขณะที่ทาง รพ.สต. ก็ไม่สามารถจัดซื้อเองได้ อย่างเข็มฉีดยา สายอ็อกซิเจนเริ่มไม่พอตรงนี้กำลังเป็นปัญหา อย่างคนเป็นแผลเรื้อรัง คนเป็นโรคเบาหวานที่ต้องเบิกอินซูลินกลายเป็นเขาต้องซื้อของเอง”

โสพิสกล่าวว่า ในเรื่องของการประเมินตามมาตรฐานของระบบสาธารณสุขปฐมภูมิ สำหรับ รพ.สต.บ้านถิ่น ไม่มีปัญหาในเรื่องการประเมิน ส่วนของงบประมาณก็ไม่มีปัญหา เพียงแต่มีความยุ่งยากขึ้นในการจัดทำแผน ขณะที่ เรื่องบุคลากรไม่เพียงพอผลนั้นส่งผลกระทบมาก ซึ่งในตอนนี้คนขาดทุกที่

“บาง รพ.สต.ถึงกับไม่มีพยาบาล หรือบางที่มีพยาบาลแต่ไม่มีผู้อำนวยการ หนึ่งผู้อำนวยการต้องดูแล 2 รพ.สต.ก็มี ดังนั้น ในการประเมินมาตรฐาน รพ.สต.อยากให้ดูที่บริบทของแต่ละพื้นที่ในบางเรื่องบางอย่าง เช่น ความเป็นสัดส่วนของห้องที่บอกว่า ต้องแบ่งสัดส่วนให้ชัดเจนมิดชิด แต่บาง รพ.สต.มีคนอยู่คนเดียวจะดูแลยังไงหลายห้อง บางทีห้องโล่งที่มีทีมงานเห็นทั้งหมดคนไข้อาจปลอดภัยกว่า อาจใช้พาทิชั่นแยกก็พอ”

โสพิสกล่าวว่า มาตรฐานที่ออกมาตอนนี้ เหมือนเป็นมาตรฐานเดียวกับที่ใช้กับโรงพยาบาลใหญ่ ที่เน้นความเป็นสัดส่วนมาก บางคนอยู่ห้องยา บางคนดูผู้ป่วยอยู่คนเดียวและเป็นน้องใหม่ประสบการณ์น้อย ส่วนรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์อาจอยู่อีกห้อง หากเกิดกรณีฉุกเฉินขึ้นมาคนดูแลคนเดียวอาจไม่ทัน ซึ่งกลายเป็นเรื่องน่าห่วงกว่าเดิม จึงอยากฝากเรื่องการประเมินให้ออกเกณฑ์สอดคล้องกับบริบท อย่าให้มุ่งเรื่องความเป็นสัดส่วนมิดชิดจนเกินไป

“เนื่องจากเรื่องมาตรฐานเป็นสิ่งที่กำหนดไว้เป็นกฎหมายบังคับให้ทุก รพ.สต.ต้องผ่าน เพื่อสร้างความไว้วางใจให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ทำให้บาง อบจ. นายก อบจ.ประกาศทันทีเลยว่า ต้องให้ผ่านมาตรฐานทุกอย่าง 100% ประกาศปุ๊บ เสียงโวยมาทันที บางรพ.สต.บอกจะลาออกหมดเลยก็มี จนนายกฯต้องมาขอโทษทีหลัง เพราะไม่เข้าใจบริบท กว่าจะเข้าใจกันต้องประชุมกันหลายครั้ง”

โสพิสกล่าวว่า รพ.สต.เข้าใจถึงความสำคัญเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย แต่บางอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป ต้องมีเวลาให้ทำความเข้าใจกัน ตรงไหนทำได้ ทำไม่ได้ และต้องเข้าใจบริบทที่ตรงกัน ซึ่งหากเอามาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขออกเกณฑ์มาตั้งธงไว้ทั้งหมด และต้องทำให้ได้ทันทีนั้นไม่ไหวแน่นอน เพราะขาดเรื่องคน บุคลากรไม่เพียงพอ ซึ่งไม่เฉพาะแค่ รพ.สต. แม้แต่โรงพยาบาลแม่ข่ายก็ขาดบุคลากร

“ตอนนี้ท้องถิ่นก็ค่อยๆ ทำความเข้าใจ เช่น พยายามเติมพยาบาลลงไปให้มีครบทุก รพ.สต. บางคนเป็นพยาบาลใหม่ ก็ตั้งงบไว้สำหรับเรียนเฉพาะทางที่เกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยในชุมชน ซึ่งจะช่วยปิดความเสี่ยงให้ได้มาก แต่จะต้องทยอยไปเรียนเพื่อไม่ให้ขาดคน มันเป็นเรื่องของเวลาในช่วงเปลี่ยนผ่าน ทางท้องถิ่นไม่ได้เกี่ยงที่จะดูแล สามารถตั้งงบให้ได้เพียง แต่ต้องใช้ความเข้าใจจากการทำงานร่วมกัน ช่วงที่ผ่านมามีการประชุมกันเยอะมากเพื่อมาทำตรงนี้” โสพิสกล่าว

 

หมายเหตุ: 
ข้อเขียนชิ้นนี้ เป็นส่วนหนึ่งของ งานวิจัยการพัฒนามาตรฐานบริการของหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิแบบมีส่วนร่วมสําหรับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจําตําบล ในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)

ซีรีย์ชุด รายงานพิเศษงานวิจัยการพัฒนามาตรฐานบริการของหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิแบบมีส่วนร่วมสําหรับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจําตําบล

เสียงจากคนหน้างาน เมื่อ รพ.สต. ย้ายไปสังกัดท้องถิ่น: รพ.สต.บ้านถิ่น อ.เมือง จ.แพร่
เสียงจากคนหน้างาน เมื่อ รพ.สต. ย้ายไปสังกัดท้องถิ่น: รพ.สต.บ้านถิ่น อ.เมือง จ.แพร่
เสียงจากคนหน้างาน เมื่อ รพ.สต. ย้ายไปสังกัดท้องถิ่น: รพ.สต.บ้านถิ่น อ.เมือง จ.แพร่
เนื้อหาล่าสุด