PAPA PAPER กระดาษทำมือจากเศษวัสดุการเกษตร เพื่อความยั่งยืนของชุมชนและสิ่งแวดล้อม
พิชญุตม์ เค้าอ้น
จากจุดเริ่มต้นที่เห็นคุณพ่อและคนในชุมชนบ้านเปาทำกระดาษสามาตั้งแต่เด็กๆ ทำให้ เต้-ธนากร สุภาษา ตัดสินใจรับช่วงต่อและขยายธุรกิจจากภูมิปัญญาเล็ก ๆ ในชุมชน ให้โด่งดังและมีชื่อเสียงระดับโลก ผ่านการดีไซน์ที่สวยงามโดดเด่นและนวัตกรรมที่ทันสมัย จนกลายมาเป็นแบรนด์ PAPA PAPER ที่เปลี่ยนกระดาษสาพื้นบ้านธรรมดา ให้กลายเป็นกระดาษทำมือที่มีความโดดเด่นในเรื่องรูปลักษณ์ สีสัน ลวดลาย และมีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับการใช้งานในปัจจุบันมากขึ้น
แนวคิด Zero Waste ที่เป็นวิธีคิดหลักของแบรนด์ PAPA PAPER ในปัจจุบัน ผ่านโปรเจคที่ชื่อ Turn Waste to Work ที่ทาง PAPA PAPER ร่วมกับมือกับชาวบ้านในชุมชนภาคเหนือ โดยจูงใจให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดไม่ใช้วิธีการเผาไร่ เพื่อลดปัญหาหมอกควัน และ PM 2.5 โดยให้ราคาใบข้าวโพดที่ 1,000 บาท/ตัน ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกช่องทาง ดีกว่าการเผาไร่ข้าวโพดหลังการเก็บเกี่ยวของเกษตรกร
ชุมชนทำกระดาษสาบ้านต้นเปา
'
หากย้อนกลับไปเมื่อ 22 ปีที่แล้ว ที่ชุมชนบ้านต้นเปา อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ คุณพ่อธนูพร ได้ก่อตั้งกลุ่มกระดาษสาบ้านต้นเปา ซึ่งเป็นกลุ่มที่ริเริ่มการนำเอาภูมิปัญญาของการทำกระดาษทำมือ มาผลิตกระดาษสาเพื่อส่งไปสร้างเป็นพัด ร่ม หรือของฝาก จนเมื่อถูกส่งต่อมายังมือ ธนากร กระดาษสาที่คนรุ่นใหม่อาจจะมองว่าเชยหรือไม่ได้สวยงามสำหรับการตกแต่งอีกแล้ว ได้ถูกชุบชีวิตกลับขึ้นมาใหม่อีกครั้งด้วยการออกแบบที่โดดเด่นและนวัตกรรมที่ทันสมัย
“ปัญหาที่ผมเจอคือ กระดาษสามันค่อนข้างเฉพาะกลุ่มมากๆ แถมพอการออกแบบมันไม่ตรงกับไลฟ์สไตล์ปัจจุบันก็ยิ่งยากขึ้น จึงมาคิดว่าทำยังไงจะปรับตัวเข้าหากลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ได้ เลยออกแบบดีไซน์ใหม่ วิจัยและพัฒนานวัตกรรมให้มีความทันสมัยและเหมาะกับไลฟ์สไตล์ในปัจจุบันมากขึ้น” ธนากร เล่า
ธนากร เล่าให้ฟังถึงจุดเปลี่ยนผ่านที่ทำให้การทำกระดาษสาธรรมดาทั่วไป กลายเป็นสินค้าไลฟ์สไตล์ที่มีเอกลักษณ์ในเรื่องของความสวยงาม ผสมเข้ากับการค้นคว้าและวิจัยนวัตกรรมจากหลายหน่วยงาน ทั้งอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ ไปจนถึงอาจารย์จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ที่ช่วยกันพัฒนานวัตกรรมกระดาษของ PAPA PAPER ให้เป็นกระดาษที่สามารถกันน้ำได้ เมื่อถูกไฟติดแล้วจะไม่ลาม เพื่อความปลอดภัยในสินค้าประเภทเฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง เป็นการปิดตายจุดอ่อนของกระดาษได้เป็นอย่างดี
นอกจาก ธนากรจะให้ความสำคัญกับนวัตกรรมและการออกแบบที่งดงามแล้ว เขายังใส่ใจเป็นพิเศษกับเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย
“เราทำโครงการ Turn Waste to Work เพราะเชียงใหม่หรือภาคเหนือมีปัญหาเรื่องฝุ่นควัน PM2.5 มากที่สุดติดอันดับโลก ก็เลยคิดง่าย ๆ ว่าถ้าเปลี่ยน waste เกษตรกรรม เช่น ใบข้าวโพด ฟางข้าว กล้วย ไผ่ และปอสา ที่อาจจะมีการนำเอาไปเผาทำลายจนเป็นอีก 1 ปัจจัยสำคัญของฝุ่น ให้กลายไปเป็นวัสดุกระดาษแบบ Low Carbon Material ได้ ซึ่งนอกจากจะไม่ต้องเผาทำลายให้เป็นมลภาวะแล้ว ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเข้าเงื่อนไขความเป็นกลางทางคาร์บอนในองค์กร ตามนโยบายภาครัฐในอนาคตได้อีกด้วยครับ”
ธนากร บอกถึงแนวคิด Zero Waste ที่เป็นวิธีคิดหลักของแบรนด์ PAPA PAPER ในปัจจุบัน ผ่านโปรเจคที่ชื่อ Turn Waste to Work ที่ทาง PAPA PAPER ร่วมกับมือกับชาวบ้านในชุมชนภาคเหนือ โดยจูงใจให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดไม่ใช้วิธีการเผาไร่ เพื่อลดปัญหาหมอกควัน และ PM 2.5 โดยให้ราคาใบข้าวโพดที่ 1,000 บาท/ตัน ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกช่องทาง ดีกว่าการเผาไร่ข้าวโพดหลังการเก็บเกี่ยวของเกษตรกร
ธุรกิจที่ยั่งยืน คือธุรกิจที่ไปด้วยกันกับชุมชน
“ตั้งแต่เริ่มต้น PAPA PAPER ไปด้วยกันกับชุมชนอยู่แล้วครับ เรามองว่าความยั่งยืนไม่ใช่การที่เราขายสินค้าได้เยอะ แต่เป็นการที่ทั้งเรา เกษตรกร แรงงานมีฝีมือในชุมชน และเมืองเชียงใหม่ ได้ประโยชน์ร่วมกัน ทั้งทางตรงก็คือมีรายได้ และทางอ้อมก็คือปัญหาสิ่งแวดล้อม เราถึงจะเรียกมันว่าความสำเร็จอย่างยั่งยืน
“ผมเห็นทุกวันนี้มีภูมิปัญญาดี ๆ ในหลายชุมชน ที่กำลังถูก Disrupt จากเทคโนโลยีหรือปัญหาทางเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างเช่น ถ้า PAPA PAPER ไม่ได้ทำกระดาษทำมือ อาจจะไม่มีใครทำกระดาษสาแล้วก็ได้ เลยอยากให้หยิบสิ่งที่แต่ละชุมชนมีมาพัฒนา และหาที่ทางให้มันครับ”
ธนากร ย้ำให้ฟังถึงเหตุผลที่ตัวเขาเชื่อว่า การจับมือเดินไปด้วยกันของธุรกิจกับชุมชน และ จะเป็นการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม และตอบโจทย์ลูกค้ารุ่นใหม่ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกวันอีกด้วย
